วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

11 May 2015

วันจันทร์

      วันนี้ได้ไปงาน "บทบาทของมหาวิทยาลัยต่อการพัฒนาประเทศด้วยการวิจัย" ที่โรงแรม Amari Watergate ก็ได้ไปเปิดกะลาใบน้อยบ้างจะได้รู้ว่าโลกมันไปถึงไหนแล้ว ใจความสำคัญที่คนทั่วไปไมเห็นถึงคุณค่าของงานวิจัยผู้ทรงคุณวุฒิในงานท่านนึงพูดไว้ดีมาก สรุปได้ว่า "ประเทศไทยจากประเทศด้อยพัฒนากลายมาเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยการเน้นการลงทุนจากต่างประเทศส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม การส่งออกจึงเป็นรายได้หลักของประเทศและแข่งขันกับต่างชาติได้ แต่เราขายของถูกไม่ได้ตลอด มันต้องค่อยๆแพงขึ้น ทำให้เราแข่งขันได้น้อยลงและติดอยู่ในชั้นของประเทศกำลังพัฒนา การที่เราจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เราต้องดันให้รายได้ประชากรของเราสูงขึ้น คือ เราต้องขายของแพงขึ้น จะขายแพงขึ้นได้อย่างไร? ก็ต้องทำให้ของเรามีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งทำไๆด้โดยการใส่นวัตกรรมลงไป"
      Ceo ของ srithai superware จำกัดความของ R&D ไว้ว่า เปลี่ยนเงินให้เป็นความรู้ และ จำกัดความของ Innovation ไว้ว่า การเปลี่ยนความรู้ให้เป็นเงิน  ทั้งสองต้องไปควบคู่กัน
      การที่งานวิจัยของไทยยังไปไม่ไกลและยังจับต้องไม่ได้ เพราะ Ecosystem ของนักวิจัยที่ไม่ค่อยมาทำงานวิจัยแบบมุ่งเป้า (งานวิจัยมุ่งเป้าคืองานวิจัยที่พร้อมเอาไปใช้ได้เลย) เพราะการทำวิจัยแบบนี้ ตัวของนักวิจัยไม่ได้อะไร ไม่สามารถนำไปยื่นของตำแหน่งวิชาการได้ต่างจาก งานวิจัยพื้นฐานที่เน้นสร้างรากฐานทางความรู้แต่ต้องผ่านกระบวนการประยุกต์ใช้ก่อนจึงจะใช้ได้จริง ซึ่งส่วนนี้ทำให้เอกชนไม่ค่อยเข้าใจและไม่เข้ามาส่งเสริมด้านการวิจัยของไทย ด้วยที่รัฐบาลทำงานวิจัยแบบพื้นฐานเพื่อให้เอกชนลงทุนด้านการนำไปประยุกต์ใช้ ส่วนเอกชนก็เห็นว่าซื้อต่างชาติมาใช้เลยง่ายกว่ามาก ก็ทำให้งานวิจัยไม่ไปถึงไหน
   
      จากที่ได้ไปฟังผู้ทรงคุณวุฒิคนต่างๆพูดมาในวันนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเอกชนรายใหญ่และนักวิจัยก็เห็นโอกาศการโตของนักวิจัยที่ค่อนข้างกว้าง เนื่อจากประเทศเราเห็นความสำคัญด้านนี้น้อย แต่งานวิจัยก็เป็นจิ๊กซอตัวสำคัญในการดันการพัฒนาประเทศต่อไปได้ ถ้ารัฐและเอกชนไม่สนับสนุนด้านนี้มีแต่ตายกับตาย ซึ่งมันจำเป็นต้องสนับสนุนอยู่แล้ว ทำนายไว้เลยว่าเงินที่ส่งเข้ามาตรงนี้จะค่อยๆเพิ่มมากขึ้นถ้านักวิจัยเน้นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะเมื่อเอกชนเห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อเกชนจะกล้าใส่เงิน ตอนนี้ประเทศเราขาดนักวิจัยแบบนี้ และเป็นแบบที่เราอยากเป็นพอดี

      ตลาดวันนี้โหดแต่ไม่มากเปิดเหมือนจะสวยเป็นการ reversal ที่สมบูรณ์สะแล้ว แต่พอบ่ายเท่านั้นแหละเทมาเละเลย ตัวหนักๆที่ถูกเทวันนี้คงเป็น ABC ที่ลงมา floor เลยครับ ..




เห็นไว้ว่าจุดที่สองโดนหมีตบซะกระจุยกระจายมาพักนึงแต่ก็เริ่มกดไม่ลงแล้ว ถ้ามันยังไม่ทำนิวโลว์สะก่อนนะ น่าจะได้เห็นภาพเดียวกันกับของจุดที่ 1 

ABC

ก่อนเจอหมีควายตัวนี้ เป็นกราฟที่ทรงค่อนข้างสวยมาก มีการทำนิวไฮน์ 2 ครั้ง ยกโลว์ 2 ครั้ง ดูน่าสนใจมาก เจอกระทิงเล็กๆ ประมาณ 3 ฝูง แต่โดนหมีควายตัวเดียวตบสะตายหมดเลย น่าสงสารจริงๆ บทเรียนเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ต้องมีจุด stop ทุกครั้งที่ซื้อนะเด็กๆ 

IFS


ตัวนี้จะชี้ให้เห็นอะไรดีๆ 2 จุดใหญ่ๆ   อย่างแรกคือการใส่ skill ของหมีและกระทิง โดยก่อนการโจมตีลูกใหญ๋ๆ damage แรงๆ (spread ราคากว้างๆ) ของทั้งหมีและกระทิง มันชอบตีให้ติดสตั๊นมาก่อน โดยถ้าเป็นหมี คือราคาจะวิ่งขึ้นมาเป็นกระทิงเรื่อยๆ วันต่อมาราคาเปิด gap (เปิดโดด) เหนือราคาปิดอีก แต่อยู่ภายในวันราคากลับถูกเทลงมาขายทิ้งจนลงไปปิดแก๊บ และกินเนื้อเทียนของแท่งก่อนหน้า จะเห็นจากภาพได้ว่า ก่อนหมีจะบุกเราเห็นการกระทำของหมีจากจุดสีแดงที่ 1,2 และ 3 โดยความแรงขึ้นอยู่กับการกินเนื้อเทียนมากขนาดไหน โดยจุดที่ 3 จะไม่ค่อยชัดเจน ชี้ให้เห็นภาพเฉยๆ เราจะดูเฉพาะหมีกับกระทิงขนาดกลางถึงใหญ่เท่านั้น ลูกหมีลูกกระทิงอย่าไปสนใจมาก ยกเว้น vol มันจะเยอะ ซึ่งการดูกระทิงก็ตรงข้ามกับหมีนั่นเองดูได้จาก จุดที่ 2 สีเขียว 

อย่างที่สองที่น่าสนใจในภาพนี้คือการบุกที่ดุเดือดของหมีกระทั่งเข้าไปในเขตกระทิง (rsi < 30 ) แต่ก็ยังใช้หมีควายบุกอย่างต่อเนื่อง แบบนี้รอจังหวะกระทิงสวนดีๆ ใจเย็นๆ แต่มือต้องไวเห็นปึ๊บซัดปั๊บ จับตาดูดีๆเลย


LIT



ตัวนี้เป็นหุ้นที่พึ่งซื้อเข้าพอตไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเพราะนอกจาก จะเป็นท่า counter ของกระทิง ยังเป็น Counter ที่กินหมดทั้งแท่งแดงแสดงว่าเป็นกระทิงดุ เลยจัดไป พอวันนี้เกิดหมีตบ Counter ใส่ ดูไปดูมา ก็ไม่หนักมาก แถมตบไม่เลยครึ่งตัวกระทิงด้วยซ้ำเลยตั้ง alert ไว้ที่ 4.10 ซึ่ง 4.09 คือครึ่้งตัวกระทิงรอลุ้นถ้าราคาต่ำกว่า 4.08 SL

วันนี้มีการบ้านหลายตัวขอไปนอนพักก่อนดีกว่าราตรีสวัสดิ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น